Username or email *
Password *
Remember Me
Log in
ตามหัวข้อเลยครับสำหรับคนที่กำลังมองหา กันรอย สำหรับ ติดไอโฟนสักแผ่น จะเลือกแบบไหนดี แต่ละวัสดุแต่ละพื้นผิวสัมผัส ต่างกันอย่างไร โดยบทความนี้การจำแนกประเภทผมจะแบ่งตามความแตกต่างของวัสดุ ที่นำมาใช้ผลิตเป็นหลักนะครับ ซึ่งจากข้อมูลปัจจุบันในตลาด จะมีอยู่ประมาณ 4 ชนิดด้วยกัน
ฟิล์ม PET เป็นตัวเริ่มต้นที่เราติดกันรอยกันมายาวนาน หรือบางทีเราก็เรียกสั้นๆว่าฟิล์มใสฟิล์มด้านธรรมดา มีข้อดีคือฟิล์มมีความบางใส และถือเป็น ตัวที่ราคาประหยัดที่สุด
สามารถกันรอยได้ระดับเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถกันตก กันกระแทกหนักๆได้ และยังมีข้อเสียตรงเกิดริ้วรอยขนแมวค่อนข้างง่าย ในปัจจุบัน ไม่ค่อยนิยมใช้กันแล้วโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ iPhone ยิ่งไม่ได้รับความนิยม เนื่องด้วยคุณสมบัติในการป้องกันถือว่าอยู่ในระดับต่ำแถมยังมีฟิล์มแบบอื่นที่ดีกว่าเข้ามาทดแทน
ฟิล์มแบบ TPU Hydrogel ลักษณะฟิล์มจะต่างจากแบบ PET ในเรื่องของความยืดหยุ่น ทำให้สามารถรับแรงกระแทกได้ดี ปัจจุบันก็ถือว่าได้รับความนิยมมาก ซึ่งมันแทบจะมาแทนฟิล์มแบบ PET ไปเลย เพราะมีคุณสมบัติการป้องกันที่ดีกว่า ทั้งกันรอย และ กันกระแทกได้ดีด้วย ทำให้ผู้ใช้ฟิล์มชนิดนี้มีความมั่นใจได้มากกว่า แบบแรก ส่วนเรื่องการสัมผัสในยุคหลังๆก็พัฒนามาทำได้ดีมากๆ ทัชลื่น ทัชไว ไม่หนืดมากเหมือนในยุคแรกๆ แต่ก็ยังมีข้อเสียในเรื่องของรอยขนแมว ที่ยังคงเกิดขึ้นได้ตามการใช้งาน แม้ตอนติดใหม่ๆจะเนียนใสมากๆ แต่เมื่อใช้ไปสักระยะก็จะเกิดรอยขนแมวได้ หากใครต้องการความเนียนใสตลอดเวลาก็อาจจะต้องไปเลือกใช้ในแบบกระจกนิรภัยมากกว่า
แต่ข้อดีที่ผมมองว่าอาจจะได้เปรียบกว่าแบบกระจก คือตัว Hydrogel จะไม่มีการแตกกะเทาะเปราะมุมเหมือนกระจกนิรภัยบางตัวที่คุณภาพไม่ดี ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลต้องมาเปลี่ยนหรือซื้อใหม่บ่อยๆ ถ้าไม่กังวลในเรื่องริ้วรอยขนแมวในระยะยาว ก็สามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปอย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างกรณีศึกษา
ลูกค้าบางคนอาจจะซื้อกระจกนิรภัยแบบราคาไม่แพงใช้ อาจจะอยู่ที่ 150 – 200 บาท แต่อาจจะเกิดการกะเทาะแตกตั้งแต่ เดือนแรก ทำให้ต้องเปลี่ยนใหม่บ่อย หากใช้ Hydrogel ราคาอาจจะอยู่ที่ 200 – 400 บาท แต่ใช้ยาวๆ เป็น 6 เดือน – 1 ปี ได้ แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างนะครับ เราสามารถเลือกตามการใช้งาน ตามไลฟสไตล์ของเราได้เลย
ฟิล์มกันรอยแบบ “Acrylic” ยกตัวอย่าง แต่ละยี่ห้อในตลาดที่อาจจะใช้ ชื่อเรียกทางการตลาดที่แตกต่างกัน เช่น Gorilla Nano Max / RHINOSHIELD 3D IMPACT /X-One Extreme /Ablemen Flexiglass ซึ่งล้วนแล้วก็มีวัสดุพื้นฐานมาจาก อะคริลิค หรือ PMMA ทั้งนั้น แต่ก็อาจจะการเคลือบชั้นผิวต่างๆที่แตกต่างกันในแต่ละแบรนด์ หากเรานึกไม่ออกว่าเป็นวัสดุมันเป็นยังไง ให้เราลองนึกถึง ฉากกัน ป้ายตั้งโฆษณาต่างๆ ก็จะพอนึกออกว่า Acrylic เป็นยังไงนะครับ
สำหรับฟิล์มประเภทนี้ก็ถือว่ามาแรงมากในยุคนี้ เพราะผู้ใช้หลายคนอยากได้กันรอย 1 ตัวที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับกระจกนิรภัยที่สุด แต่ก็ไม่อยากให้มันกะเทาะ หรือ ทำตกแล้วฟิล์มแตกได้เหมือนกระจก และนี่คือคุณสมบัติของเจ้า ฟิล์ม Acrylic ที่มีทั้ง น้ำหนักที่เบาบาง การกันรอยกันกันกระแทกก็ทำได้ดีมากๆ ยังให้ผิวสัมผัสเหมือนกระจกอีก แถมยังตกไม่แตกแบบกระจกอีก
แต่ทั้งนี้จากประสบการ์ณของผมมันก็ยังมีข้อด้อยกว่ากระจก ในส่วนของรอยขีดข่วนที่ผิวฟิล์ม ซึ่งถ้าเทียบกับกระจกเกรดดีๆแล้วละก็ มันยังเกิดรอยขนแมวที่ผิวง่ายกว่ากระจก เมื่อใช้ไปสักระยะ และด้วยพื้นฐานของวัสดุแบบอะคริลิค ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนของสีหรือความใสในการใช้ระยะยาวได้มากกว่ากระจก
แต่ถ้าใครชอบความเบาบาง กันกระแทกได้ดี ไม่เกิดการกะเทาะแตก ฟิล์มแบบ Acrylic เป็นตัวเลือกที่ดีเลย ส่วนเรื่องของราคาและคุณสมบัติเพิ่มเติมอื่นๆ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์สินค้าเลยครับ
สำหรับฟิล์มแบบกระจกนิรภัย ถือว่ายังได้รับความนิยมสูงที่สุดในกลุ่มผู้ใช้ iPhone ในปีนี้ ซึ่งกระจกนิรภัยจะให้คุณสมบัติเหมือนจอ iPhone ที่สุด ผู้ใช้ก็เลยจะรู้สึกเหมือนได้รับประสบการ์ณใช้งานเดียวกับการใช้งานจอเปล่าๆ เพียงแต่เหมือนมีเกาะป้องกันเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั้น กระจกเกรดที่ดีหน่อยจะให้ความหรูหราดูดี พรีเมี่ยมมากกว่าวัสดุฟิล์มแบบอื่นๆ แต่ด้วยในปัจจุบัน ในการแข่งขันของผู้ผลิตทำให้ในตลาดมีกระจกนิรภัย ออกมาจำหน่ายหลากหลายเกรดมาก ราคาตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักพัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพกระจกที่นำมาใช้ (บางทีราคาถูกมากๆอาจจะไม่ใช่กระจกนิรภัยด้วยซ้ำ อาจจะเป็นกระจกธรรมดา หรือ แย่ที่สุดก็เป็นพลาสติก) หากเป็นกระจกนิรภัย Tempered Glass จะผ่านการอบร้อนอบแข็ง ตามกรรมวิธีการผลิตกระจกนิรภัย ซึ่งแต่ละผู้ผลิต ก็มีระยะการอบ หรือ จำนวนการครั้งการอบที่แตกต่างกันอีก ทำให้ความแข็งแกร่งของกระจกมากน้อยต่างกัน ยังรวมถึงการเคลือบสารต่างๆที่ผิวกระจก ที่ทำการทัชสกรีนลื่นมากลื่นน้อยต่างกัน
ซึ่งถ้าให้ผมพอจะสรุปข้อเปรียบเทียบของกระจกที่ต่างกัน ก็น่าจะมีประมาณ 6 ข้อ
1.วัสดุเกรดกระจก (แหล่งกระจกแต่ละประเทศ) 2.การอบแข็ง ยิ่งจำนวนรอบหรือระยะเวลานาน ทำให้กระจกแกร่ง แต่ต้นทุนการผลิตก็จะสูง 3 ผิวสัมผัส สารเคลือบผิวกระจกต่างๆ (เรื่องการทัชสกรีน) 4.เกรดกาวที่ใช้ในการติดตั้งฟิล์ม เกรดดีก็จะติดง่ายไม่เกิดฟอง ถนอมหน้าจอ แม้จะติดตั้งนานตอนลอกออกก็ไม่ทำลายหน้าจอ 5.ขนาดฟิล์ม (ฟิล์มเต็มจอไม่เต็มจอ) รวมถึง องศาส่วนโค้งขอบฟิล์ม (2.5D, 2.75D, 3D) เช่น ฟิล์มเต็มจอก็อาจจะแพงกว่าไม่เต็มจอ 3D ก็อาจจะแพงกว่า 2.5D เป็นต้น 6.คุณสมบัติพิเศษอื่นๆ เทคโนโลยีการผลิตพิเศษอื่นๆ ที่จะทำให้ฟิล์มใสเป็นพิเศษ, สารลดการเกิดไฟฟ้าสถิตย์ ทำให้ตอนติดตั้งไม่มีฝุ่นเข้ามาก่อกวนในฟิล์ม
ยกตัวอย่างฟิล์มกระจกนิรภัย iPhone ที่ขายในร้าน GadgetZone
1. Gorilla รุ่น TG-Full 2.5D 2. Ablemen รุ่น FF Corning 2.5D 3. Hogo รุ่น Full Coverage 2.75D 4. Hi-Shield รุ่น 3D Tripple Strong
นอกเหนือจากการแบ่งประเภทฟิล์มตามวัสดุที่นำมาใช้ผลิต ที่ผมเขียนในบทความนี้ ยังมีในเรื่องการจำแนกประเภทฟิล์มตามคุณสมบัติการใช้งานพิเศษต่างๆอีก เช่น ฟิล์มผิวแบบด้าน,ฟิล์มถนอมสายตาตัดแสงสีฟ้า,ฟิล์มป้องกันการแอบมองด้านข้าง (Privacy ) ซึ่งหากใครสนใจผมจะเขียนไว้ ในบทความต่อไปครับ
Gadgetzone จำหน่ายทางออนไลน์ และ มีหน้าร้านบริการติดตั้งฟรี
สั่งออนไลน์สั่งง่าย จัดส่งของไว ระบบการชำระเงินปลอดภัย มีบริการเก็บเงินปลายทาง
Error: Contact form not found.